จับตาเลือกตั้งสหรัฐ! กองทุนไหนจะได้ประโยชน์หากทรัมป์คว้าชัยการเลือกตั้งสหรัฐฯ
หากทรัมป์คว้าชัย...กองทุนไหนได้ประโยชน์?
เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิการยน 2567 นี้ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคริพับลิกันมีคะแนนนิยมสูงขึ้น ทิ้งห่างจากคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต อย่าง กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐในปัจจุบัน ทำให้นักวิเคราะห์หลายท่านต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามีโอกาสที่ทรัมป์น่าจะได้คว้าชัยได้นั่งเป็นประธานาธบดีสหรัฐอีกครั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงสำคัญต่อชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบที่สำคัญต่อนักลงทุนและกองทุนทั่วโลกที่เน้นลงทุนในสหรัฐฯ ด้วย
สรุปนโยบายทรัมป์ ที่อาจะส่งต่อการลงทุนในคลาดหุ้น
- นโยบายเศรษฐกิจและภาษี 💵
- การลดภาษีภาคธุรกิจ: ทรัมป์เน้นลดภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดการลงทุนในประเทศ ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถทำกำไรได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลบวกต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท Mid&Small-cap
- การส่งเสริมการจ้างงาน: การกระตุ้นการจ้างงานเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของทรัมป์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการเติบโตในภาคธุรกิจต่างๆ
- ลดกฎเกณฑ์การควบคุมทางธุรกิจ: เน้นให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว ลดข้อจำกัดสำหรับธุรกิจหลายประเภท ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมถึงการเงินและพลังงาน
- นโยบายการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลก 🌎
- สงครามการค้ากับจีน: ทรัมป์เคยประกาศใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลดการนำเข้าจากจีน โดยมุ่งส่งเสริมการผลิตในประเทศนโยบายนี้ส่งผลให้ธุรกิจในสหรัฐฯ ที่ผลิตภายในประเทศมีความได้เปรียบ และยังเป็นการกดดันให้บริษัทต่างชาติพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่น
- นโยบาย American First: ทรัมป์เน้นให้สหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งในตัวเอง โดยลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากประเทศอื่น ส่งเสริมให้ธุรกิจในประเทศมีความเป็นอิสระและเติบโตได้ด้วยตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการลงทุนในกลุ่มพลังงานและเทคโนโลยีในประเทศสหรัฐฯ
- การทบทวนนโยบายกับพันธมิตรนานาชาติ: การทบทวนข้อตกลงกับประเทศพันธมิตรและองค์กรนานาชาติที่ทรัมป์มักใช้เป็นยุทธวิธีเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร
หากทรัมป์สามารถดำเนินนโยบายเหล่านี้ได้ จะเป็นปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่งสำหรับหุ้นในกลุ่มพลังงาน, เทคโนโลยี, การเงิน และ Healthcare ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การทำธุรกิจ รวมถึงกลุ่ม Mid&Small-cap ที่ได้รับการกระตุ้นให้เติบโตจากนโยบายการจ้างงานและการผลิตในประเทศ
กองทุนแนะนำจาก Pi Financial หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง
เมื่อตลาดมีทิศทางดังกล่าว กองทุนต่อไปนี้มีแนวโน้มได้ประโยชน์ในกรณีทรัมป์คว้าชัย
1. SCBUSHYA
เน้นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้อมูลพื้นฐานของกองทุน SCBUSHYA
- บริหารจัดการโดย: บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM)
- ประเภทกอง: High Yield Bond
- ระดับความเสี่ยง: 6
- กองแม่ (Feeder Fund): AXA IM Fixed Income Investment Strategies-US Short Duration High Yield
- นโยบายค่าเงิน: ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวม
- ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee): 0.8%
- ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน (Management Fee): 0.81% ต่อปี
- ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก (Minimum buy): 1,000 บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: หนังสือชี้ชวน
2. SCBUSSM
ลงทุนในหุ้น Mid&Small-cap ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
ข้อมูลพื้นฐานของกองทุน SCBUSSM
- บริหารจัดการโดย: บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM)
- ประเภทกอง: High Yield Bond
- ระดับความเสี่ยง: 6
- กองแม่ (Feeder Fund): Granahan US Focused Growth UCITS
- นโยบายค่าเงิน: ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวม
- ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee): 1.61%
- ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน (Management Fee): 1.61% ต่อปี
- ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก (Minimum buy): 1,000 บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: หนังสือชี้ชวน
3. KT-FINANCE
เน้นหุ้นกลุ่มการเงินที่อาจได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง
ข้อมูลพื้นฐานของกองทุน KT-FINANCE
- บริหารจัดการโดย: บลจ. กรุงไทย (KTAM)
- ประเภทกอง: Global Equity
- ระดับความเสี่ยง: 7
- กองแม่ (Feeder Fund): Fidelity Funds – Global Financial Services Fund
- นโยบายค่าเงิน: ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวม
- ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee): 1.5%
- ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน (Management Fee): 0.8% ต่อปี
- ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก (Minimum buy): 1,000 บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: หนังสือชี้ชวน
4. KT-HEALTHCARE
กลุ่ม Healthcare คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ที่ลดแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมนี้
ข้อมูลพื้นฐานของกองทุน KT-HEALTHCARE
- บริหารจัดการโดย: บลจ. กรุงไทย (KTAM)
- ประเภทกอง: Health Care
- ระดับความเสี่ยง: 7
- กองแม่ (Feeder Fund): Janus Henderson Global Life Sciences Fund
- นโยบายค่าเงิน: ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวม
- ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee): 1.5%
- ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน (Management Fee): 1.07% ต่อปี
- ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก (Minimum buy): 1,000 บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติม: หนังสือชี้ชวน
โปรโมชันพิเศษ สำหรับกองทุน SCBUSSM, KT-FINANCE, KT-HEALTHCARE
ซื้อกองทุน SCBUSSM, KT-FINANCE, KT-HEALTHCARE ที่ Pi Financial ครบตามเงื่อนไขที่กำหนด รับ iPhone 16 Pro Max 256 GB มูลค่า 56,900 บาท
ลงทุนสะสมได้ตั้งแต่ 16 ก.ย. - 15 ธ.ค. 2567
ศึกษารายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติม
ลงทุนกองทุน SCBAOA และ กองทุนรวมจาก 18 บลจ. ชั้นนำได้แล้ววันนี้ที่ Pi Financial
คำเตือน- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- ติดต่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัท
- ผลตอบแทนในอดีตของกองทุนรวมมิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด