เทคนิคการลงทุนใน ETF ช่วยสร้างผลกำไรและกระจายความเสี่ยง
รวบตึงทุกเรื่องเกี่ยวกับกองทุน ETF คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง
การลงทุนมีความเสี่ยง ด้วยเหตุนี้นักลงทุนที่ดีและประสบความสำเร็จจึงต้องบริหารและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งหนึ่งในสินทรัพย์ที่กำลังได้รับความนิยมและเป็นทางเลือกของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศก็คือ กองทุน ETF หรือ Exchange Traded Fund ที่ช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสได้กำไรมากยิ่งขึ้น
ETF คืออะไร ทำไมนักลงทุนควรให้ความสนใจ?
ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนีที่เป็นลูกผสมระหว่างกองทุนรวมที่มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน กับหุ้นที่สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ไม่ต้องรอราคาในช่วงสิ้นวันทำการเหมือนกองทุนรวมทั่วไป
หลักการทำงานของ ETF
กองทุน ETF มีลักษณะเป็นกองทุนที่เน้นการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ดัชนีหุ้น พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์ และมีการซื้อขายที่เหมือนกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ด้วยเหตุนี้ การลงทุน ETF จึงรวมเอาจุดเด่นของหุ้นและกองทุนมาไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกัน ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้เหมือนกับหุ้นในราคาแบบเรียลไทม์ แต่มีการกระจายความเสี่ยงไปหลากหลายสินทรัพย์ ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน
ผลตอบแทนของกองทุน ETF สามารถแบ่งเป็น 2 รูปได้ คือ
- กำไรจากส่วนต่างของราคา คือ ซื้อมาในราคาที่ถูกและขายในราคาที่แพงขึ้น
- เงินปันผล จากกองทุน ETF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ได้รับเงินปันผล
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายกองทุน ETF สามารถซื้อได้หลากหลายธีม ทั้งในไทยและต่างประเทศ และสำหรับผู้ที่ต้องการ ETF ที่มีปันผลสูง อาจจะพิจารณาซื้อ ETF ที่ลงทุนในหุ้นซึ่งได้รับเงินปันผลสูงต่อเนื่องกันหลายปี
กองทุน ETF ซื้ออย่างไร
การซื้อขายกองทุน ETF เหมือนกับการซื้อขายหุ้นทั่วไป โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- เปิดพอร์ตหุ้น กับโบรกเกอร์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ อย่าง บล.พาย จำกัด (มหาชน)
- เลือก ETF ที่สนใจ
- ส่งคำสั่งซื้อขาย
ความแตกต่างระหว่างกองทุนรวม หุ้น และ ETF
แม้ว่า ETF จะรวมจุดเด่นของกองทุนและหุ้นไว้ด้วยกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้
คุณลักษณะ | ETF | หุ้น | กองทุนรวม |
---|---|---|---|
การซื้อขาย | ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ | ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ | ซื้อขายผ่านบริษัทจัดการกองทุน, ตัวแทนหรือโบรกเกอร์ |
ราคา | เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time | เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time | คำนวณ ณ สิ้นวันทำการ |
การกระจายความเสี่ยง | หลากหลาย มีทั้งกระจายความเสี่ยงต่ำและสูง | ไม่มีการกระจายความเสี่ยง (หากลงทุนในหุ้นตัวเดียว) | หลากหลาย มีทั้งกระจายความเสี่ยงต่ำและสูง |
การบริหารจัดการ | ส่วนใหญ่เป็นแบบ Passive | - | มีทั้งแบบ Active และ Passive |
นโยบายการลงทุน | ตามดัชนี หรือราคาสินทรัพย์อ้างอิง | ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ลงทุน | ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน |
ค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขาย | มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายต่อครั้งเหมือนกับการซื้อขายหุ้น | คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ในการซื้อขายต่อครั้ง | คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน |
ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ | ส่วนมากต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป | ไม่มีค่าธรรมเนียม | มีค่าธรรมเนียมการจัดการตั้งแต่ต่ำไปจนสูง ขึ้นอยู่กับนโยบายบริหารจัดการกองทุน |
ประเภทของ ETF
กองทุน ETF มีหลากหลายประเภทตามสินทรัพย์อ้างอิง โดยหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้
- Equity ETF และ Index ETF ลงทุนในหุ้นหรือดัชนีหุ้น เป็นหนึ่งในกองทุน ETF ที่ได้รับความนิยม มีสภาพคล่องสูง
- Sector ETF เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะ ได้รับความนิยมจากนักลงทุนที่มีความรู้ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ
- Foreign ETF คล้ายกับข้อแรก แต่เน้นการลงทุนในดัชนีหุ้นต่างประเทศ
- Gold ETF ลงทุนในทองคำ ช่วยป้องกันความเสี่ยง และเก็งกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลงไป
- Bond ETF ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้เอกชน ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตและช่วยให้กระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ทำไม ETF ถึงน่าลงทุน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยประหยัดเวลาในการจัดพอร์ตลงทุน โดยมีจุดเด่นที่สำคัญดังนี้
- กระจายความเสี่ยง เป็นการลงทุนกับหลากหลายสินทรัพย์ในคราวเดียวกัน โดยผู้จัดการกองทุนกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือหลากหลายบริษัท ไม่ได้อ้างอิงจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว
- ต้นทุนต่ำ มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป จึงช่วยให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิมากกว่า
- สภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ง่ายเหมือนหุ้น ไม่ต้องรอจนสิ้นวันทำการก่อน
- ยืดหยุ่น สามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนได้หลากหลาย ซื้อขายได้ระหว่างที่ตลาดเปิด เป็นการสะท้อนราคาจริงในตลาด
- ไม่ต้องเสียภาษี บุคคลธรรมดาที่ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาไม่ต้องเสียภาษี แต่หากว่าเป็นผลตอบแทนจากปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
ETF เหมาะกับใคร?
ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยง และปรับพอร์ตให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ จึงเหมาะกับนักลงทุนแทบทุกประเภท โดยเฉพาะนักลงทุนดังต่อไปนี้
- นักลงทุนมือใหม่ ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
- นักลงทุนที่มีเวลาจำกัด ผู้ที่ทำงานประจำ หรือเจ้าของกิจการ ที่ไม่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดได้ตลอดเวลา
- นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ต้องการลงทุนในหลาย ๆ สินทรัพย์พร้อมกัน
- นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศโดยตรง
เทคนิคการเลือก ETF ให้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุน
1. พิจารณานโยบายการลงทุน
เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนรวม ที่จะต้องพิจารณานโยบายการลงทุนของกองทุนนั้น ๆ ว่าเน้นการลงทุนในดัชนีอ้างอิงอะไรบ้าง เพื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้รับ เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้ว่า หากว่านักลงทุนติดตามตลาดของอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ก็สามารถเลือกซื้อ ETF ของอุตสาหกรรมดังกล่าวโดยเฉพาะ ก็จะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและสร้างผลตอบแทนที่ต้องการได้
2. ดูผลตอบแทนย้อนหลัง
เปรียบเทียบกับดัชนีอ้างอิงและ ETF อื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน โดยดูว่าผลตอบแทนที่ผ่านมามีความใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงหรือไม่ หากแตกต่างกันมาก ควรพิจารณากองทุนอื่น ๆ แทน
3. ตรวจสอบค่าธรรมเนียม
โดยปกติแล้วกองทุน ETF จะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป แต่อย่าลืมพิจารณาค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่อาจจะแฝงตัวอยู่ นักลงทุนจึงควรดูอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม (Total Expense Ratio) ด้วย เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนสุทธิให้ได้มากที่สุด
4. พิจารณาสภาพคล่อง
แม้ว่า ETF จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มนักลงทุน แต่ก็ยังเป็นการลงทุนที่ใหม่และการซื้อขายยังไม่ค่อยสูงเท่ากับหุ้นหรือกองทุน จึงควรพิจารณาราคาและสภาพคล่องในการซื้อขาย เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ออนไลน์
เช่น Morningstar หรือ ETF.com เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลของ ETF ต่าง ๆ ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่าย ผลตอบแทน และค่าธรรมเนียม
กลยุทธ์การจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงด้วย ETF
จุดเด่นที่สำคัญของ ETF คือ การใช้กระจายความเสี่ยงในการลงทุน และเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจดังนี้
- กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ลงทุนในหุ้น พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์ในหลากหลายบริษัท หรือหลายอุตสาหกรรม
- จัดสัดส่วนตามความเสี่ยง แบ่งสัดส่วนการลงทุนใน ETF ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อพิจารณาหากองทุนที่เหมาะสม
- ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) ลงทุนสม่ำเสมอเพื่อเฉลี่ยต้นทุนและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
- ปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ ทบทวนและปรับสัดส่วนการลงทุนเป็นประจำ เพื่อรักษาสมดุลของพอร์ต และปรับตามความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป
เริ่มลงทุน ETF เปิดพอร์ตหุ้นกับ Pi Financial
สนใจอยากลงทุนหุ้นไทยและกองทุน ETF แต่ไม่รู้ว่ากองทุน ETF ซื้อที่ไหน สามารถสมัครพอร์ตหุ้นได้ผ่าน Pi Financial แอปพลิเคชันเพื่อการซื้อขายและการลงทุนสำหรับทุกคน รองรับการเทรดหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และ ETF ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมอัปเดตข่าวสารทางการเงินและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ ด้วยประสบการณ์ให้บริการลูกค้ากว่า 50 ปี ติดต่อผู้แนะนำให้คำปรึกษาด้านการลงทุนของบริษัทได้เลยที่ 02-205-7111
คำเตือน- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน