ทำความรู้จัก 5 หุ้นยาสุดโดดเด่นในตลาดหุ้นสหรัฐ โอกาสลงทุนสำหรับนักลงทุนนอกมือใหม่
ทำความรู้จัก 5 หุ้นยาสุดโดดเด่นในตลาดหุ้นสหรัฐ โอกาสลงทุนสำหรับนักลงทุนนอกมือใหม่
หุ้นยาเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรมยาและเทคโนโลยีชีวภาพ หุ้นกลุ่มนี้มีศักยภาพสูงในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่อยากก้าวเข้าสู่การลงทุนหุ้นสหรัฐ หุ้นยานับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ทำไมควรลงทุนในหุ้นยา?
1. การเติบโตของประชากรสูงอายุ
สังคมผู้สูงอายุกำลังเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจของหลายประเทศ การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและอายุขัยเฉลี่ยที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งนำมาสู่ความท้าทายในหลายด้าน โดยเฉพาะ เรื่องการดูแลสุขภาพ ซึ่งเปิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มประชากรนี้ หุ้นบริษัทยา
2. นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า
นวัตกรรมทางการแพทย์กำลังเปิดโอกาสการเติบโตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยา โดยเฉพาะในด้านการรักษาแบบมุ่งเป้าและการแพทย์แม่นยำ เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การบำบัดด้วยยีน และนาโนเทคโนโลยี เป็นต้น กำลังปฏิวัติวิธีการพัฒนายาและการรักษาโรค ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องช่วยเร่งกระบวนการค้นพบยาใหม่ ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทดลองทางคลินิก สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้บริษัทยาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ยังช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วย สร้างตลาดใหม่ และเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมยาโดยรวม การลงทุนในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาวของบริษัทยาและการยกระดับการดูแลสุขภาพทั่วโลก
3. ความต้องการยาและเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ความต้องการยาและเวชภัณฑ์ทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
3.1. การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกและการขยายตัวของชนชั้นกลางในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้มีผู้เข้าถึงการรักษาพยาบาลมากขึ้น
3.2. สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศส่งผลให้มีความต้องการยารักษาโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น
3.3. การระบาดของโรคอุบัติใหม่และการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการดำเนินชีวิตที่นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นความต้องการ
3.4. ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้มีการคิดค้นยาและวิธีการรักษาใหม่ๆ ซึ่งสร้างความต้องการในตลาดที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
ปัจจัยเหล่านี้รวมกันส่งผลให้อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว แม้จะเผชิญความท้าทายด้านการควบคุมราคายาและการเข้าถึงยาในบางภูมิภาค แต่โอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ยังคงมีอยู่มากสำหรับบริษัทที่สามารถนำเสนอนวัตกรรมและตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนำหุ้นยาชั้นตัว Top ในตลาดหุ้นสหรัฐ
1. Johnson & Johnson (JNJ)
- หนึ่งในบริษัทยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว บริษัทมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 50 ปี ทำให้ได้รับการจัดอันดับเป็น Dividend King
- ธุรกิจของ Jonhson & Johnson แบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ เภสัชกรรม อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผู้บริโภค ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ
- Johnson & Johnson มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในด้านยารักษามะเร็งและโรคภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง
- Johnson & Johnson มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง งบการเงินที่ดีต่อเนื่อง และพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงได้ดี (Diversified Portfolio) ทำให้ Johnson & Johnson เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงในพอร์ตการลงทุน
2. Pfizer (PFE)
- บริษัทยาชั้นนำระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเภสัชกรรม โดดเด่นด้วยการพัฒนาวัคซีน COVID-19 ร่วมกับ BioNTech ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลและชื่อเสียงระดับโลก
- บริษัทมีพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ยารักษาโรคเรื้อรัง ยาต้านมะเร็ง ไปจนถึงวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ
- Pfizer ลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการแพทย์ขั้นสูง รวมถึงการรักษาแบบมุ่งเป้าและการแพทย์แม่นยำ
- ด้านการเงิน Pfizer มีงบการเงินที่แข็งแกร่งและประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่มองหาทั้งการเติบโตและรายได้
- อย่างไรก็ตาม Pfizer ต้องเผชิญความท้าทายจากการหมดสิทธิบัตรของยาบางตัว การแข่งขันจากยาชื่อสามัญ และความไม่แน่นอนของรายได้จากวัคซีน COVID-19 ในระยะยาว
3. Merck & Co. (MRK)
- บริษัทยาข้ามชาติชั้นนำที่มีประวัติยาวนานในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ โดดเด่นด้วยความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ และวัคซีน
- ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท เช่น ยา Keytruda สำหรับการรักษามะเร็ง ได้สร้างรายได้อย่างมหาศาลและกลายเป็นหนึ่งในยาขายดีที่สุดในโลก
- Merck มีพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งในด้านสุขภาพสัตว์ผ่านหน่วยธุรกิจ Merck Animal Health ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสการเติบโต
- บริษัทมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนา มุ่งเน้นการค้นพบยาใหม่และการขยายการใช้งานของยาที่มีอยู่
- ด้านการเงิน Merck มีฐานะการเงินที่มั่นคงและมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งที่มองหาการเติบโตและรายได้ อย่างไรก็ตาม
- ความท้าทายสำคัญของ Merck คือการพึ่งพารายได้จาก Keytruda ค่อนข้างมาก ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในอนาคตเมื่อสิทธิบัตรหมดอายุ
4. AbbVie (ABBV)
- บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำที่แยกตัวออกมาจาก Abbott Laboratories ในปี 2013
- บริษัทมีชื่อเสียงจากยา Humira ซึ่งเป็นยารักษาโรคภูมิแพ้ตัวเองที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายปี
- แม้ว่าการหมดอายุสิทธิบัตรของ Humira จะเป็นความท้าทายสำคัญ แต่ AbbVie ได้เตรียมพร้อมรับมือด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะการควบรวมกับ Allergan ในปี 2020 ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัท รวมถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง Botox
- บริษัทมีการลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา มุ่งเน้นในด้านโรคภูมิคุ้มกัน โรคมะเร็ง และระบบประสาท
- AbbVie ยังมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่มองหาทั้งการเติบโตและรายได้
- นักลงทุนควรติดตามความสามารถของบริษัทในการทดแทนรายได้จาก Humira ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจหลังการควบรวมกิจการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตในอนาคตของหุ้น ABBV
5. Eli Lilly (LLY)
- บริษัทยาระดับโลกที่มีประวัติยาวนานกว่า 140 ปี โดดเด่นด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนายารักษาโรคเบาหวาน มะเร็ง และโรคทางระบบประสาท
- Lilly ได้รับความสนใจอย่างมากจากความสำเร็จในการพัฒนายา Mounjaro สำหรับรักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งมีศักยภาพที่จะกลายเป็นยาขายดีระดับโลก
- Lilly ยังมีแผนการพัฒนาการรักษาโรคอัลไซเมอร์และมะเร็งอย่างเข้มข้น Lilly มีการลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการแพทย์ขั้นสูง รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI ในการคิดค้นยาใหม่ๆ
- ด้านการเงิน บริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่น่าประทับใจ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
- ความเสี่ยงสำหรับการเติบโตของ Lily คือความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดยาเบาหวานและการควบคุมราคายาที่เข้มงวดขึ้น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะ Mounjaro และยารักษาอัลไซเมอร์จะส่งผลดีกับ Lily ในระยะยาว
อยากลงทุนหุ้นยาต้องดูอะไรบ้าง 4 ปัจจัยสำคัญที่ใช้ตัดสินใจลงทุนหุ้นยา
- การอนุมัติยาใหม่จากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (Food and Drug Administration, FDA)
- นโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล
- การควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมยา
- ผลการวิจัยทางคลินิกใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจในตลาด
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นยา
- วิเคราะห์พื้นฐานบริษัทอย่างละเอียด ทั้งปัจจัยพื้นฐาน งบการเงิน และนโยบายการลงทุนของบริษัท
- ติดตามข่าวสารและพัฒนาการในอุตสาหกรรมยา
- กระจายการลงทุนในหุ้นยาหลายบริษัท
- พิจารณา ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นยา เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนตรงในหุ้นยารายตัว
ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นยา
- บริษัทอาจล้มเหลวในการพัฒนายา ซึ่งอาจมีการใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก
- การแข่งขันจากยาสามัญหลังสิทธิบัตรยาหมดอายุลง ทำให้ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรลดลง
- การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจากภาครัฐ ที่อาจส่งผลต่อการวิจัยและพัฒนายา
หุ้นยาในตลาดสหรัฐเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตระยะยาว อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและพิจารณาความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน **หากสนใจลงทุนในหุ้นยา สามารถเริ่มต้นลงทุนง่ายๆ ได้แล้ววันนี้ที่ Pi Financial Application **
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน