TTB (BUY : Fair Price : Bt 2.12) : Valuation ไม่แพง และเงินปันผลสูง

Published
Share this article:

**เราปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 2.12 บาท แม้คาดการเติบโตของกำไรในปี 2025 จะชะลอตัวจาก NIM และสินเชื่อที่อ่อนแอลง แต่มองว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลน่าดึงดูดที่ 7.4%/7.8% ในปี 2025-26 ธนาคารมีแผนในการบริหารเงินกองทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการซื้อหุ้นคืน การเติบโตแบบ Inorganic growth และการจ่ายเงินปันผล นอกจากนี้ Valuation ปรับตัวลงมาอยู่ระดับน่าสนใจ โดย TTB ซื้อขายที่เพียง 0.7x PBV’25E เทียบกับ ROE ที่ 9% และมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นหากแผนการซื้อหุ้นคืนมีความชัดเจนจากทางธนาคาร เราคาดว่ากำไรสุทธิขยายตัวปานกลางที่ 4.4%/5.3% YoY ในปี 2025-26 สำหรับใน 4Q24 กำไรสุทธิออกมาตามคาดที่ 5.1 พันล้านบาท (+1.7% YoY, -2.5% QoQ) คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น โดย NPL ratio ลดลงที่ 2.6% และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 151.4% **

การประชุมนักวิเคราะห์

• ในปี 2025 TTB ยังเน้นกลยุทธ์ตั้งรับ เพิ่มประสิทธิภาพผ่านการบริหารต้นทุนการเงินและค่าจ่ายการดำเนินงาน การเติบโตอย่างมีคุณภาพ เนื่องจากการเร่งตัวของสินเชื่อยังมีข้อจำกัดจากเศรษฐกิจฟื้นตัวเปาะบาง และคุณภาพสินเชื่อที่ต้องระมัดระวังต่อเนื่อง แม้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อาจช่วยเพิ่มคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น แต่ถึงปัจจุบันลูกหนี้ที่มีสิทธิการเข้าโครงการยังค่อนข้างน้อย และคาดผลกระทบต่อธนาคารยังค่อนข้างจำกัด

• เป้าหมายทางการเงินปี 2025 (1) สินเชื่อโต 0%-2% (2024: -6.6%) (2) เงินฝากขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ (2024: -4.2%) (3) ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ 3.1-3.25% (2024: 3.3%) (4) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-NII growth) ขยายตัว Single digit growth (2024: -6%) (5) Cost to income ratio ที่ Low-40s (2024: 42.6%) (6) Stage 3 ratio <2.9% (2024: 2.6%) (7) Credit cost ที่ 125-135 bps (2024: Normal provision 135 bps และ Total provision 154 bps)

• ระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่ 19.3% ในปี 2025 TTB มีแผนการบริหารเงินกองทุนให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ประกอบด้วย การจ่ายเงินปันผล, การซื้อหุ้นคืน, การเติบโตทั้งแบบ Organic และ Inorganic

เพิ่ม ROE ผ่านการบริหารต้นทุน และการซื้อหุ้นคืน

• ในปี 2025 เป็นอีกปีที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไปสหรัฐฯ ของทรัมป์ 2.0 ที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย การเร่งโตจึงยังไม่ใช่กลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถทำกำไร

• เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3/5% ปี 2025/26 จาก NIM ที่ดีขึ้นจากการควบคุมต้นทุนการเงินทำให้ NIM ปรับขึ้นราว 5 bps และ Credit cost ลดลงราว 5 bps ในปี 2025-26 โดยคาดเติบโต 4.4%/5.3% ตามลำดับ

ปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ 2.12 บาท

ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” ปรับมูลค่าพื้นฐานเป็น 2.12 บาท (เดิม 2.00 บาท) จากความสามารถทำกำไรที่สูงขึ้นคำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 9%, TG 2%) อิงจาก 0.84x PBV’25E และ 9.3x P/E’25E