AH (HOLD : Fair Price : Bt 13.40) : ต้นปียังเหนื่อย

Published
Share this article:

เราปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” เพราะระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาเพราะภาพรวมอุตสาหกรรมยังถูกกดดันอยู่มากเห็นได้จากยอดผลิตในเดือน ม.ค. 25 ที่ลดลงกว่า 20% เช่นเดียวกับยอดขายรถยนต์ในมาเลเซียที่เดือน ม.ค. ลดลง 26%YoY โดยผู้บริหารยังคงคาดหวังถึงการฟื้นตัวในช่วง 2H25 เช่นเดิม สำหรับปัจจัยบวกที่พอจะมีคือ ปี 25 จะรับรู้คำสั่งซื้อจากทาง BYD เต็มปีมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท และเริ่มรับรู้รายได้จากทางฉางอันเพิ่มอีกค่าย ส่วนปี 26 จะรับรู้รายได้จากงาน Axle ที่มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท จากปัจจัยดังกล่าวเราจึงปรับกำไรทั้งปีลง 29% เหลือ752 ล้านบาท (+1%YoY) โดยแนวโน้ม 1Q25 คาดเห็นการชะลอตัวจาก 1Q24 แต่มีโอกาสเพิ่มจาก 4Q24 ได้

4Q24 กำไรสุทธิ 120 ล้านบาท (-13%YoY,-42%QoQ)

• AH มีกำไรสุทธิงวด 4Q24 ที่ 120 ล้านบาท (-13%YoY,-42%QoQ) โดยมีรายการพิเศษเป็นกำไร 22 ล้านบาท ถ้าไม่รวมจะมีกำไรปกติ 98 ล้านบาท (-77%YoY,-54%QoQ) ลดลงตามภาวะอุตสาหกรรม

• รายได้ที่ 6,169 ลบ. (-14%YoY,-6%QoQ) ลดลงแรงตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มียอดผลิตลดลง 25%YoY,7%QoQ โดยการลดลงที่น้อยกว่าอุตสาหกรรมเพราะรายได้จากต่างประเทศที่ดีขึ้นอย่างเช่นมาเลเซีย (+19%YoY,+6%QoQ) จีน (+3%YoY,+5%QoQ) ส่วนโปรตุเกสเพิ่มขึ้น 4%YoY แต่ทรงตัวจาก 3Q24

• อัตรากำไรขั้นต้นที่ 7.7% ลดลงจาก 11.5% ใน 4Q23 และ 8.8% ใน 3Q24 ตามฐานรายได้และสัดส่วนรายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 33% จาก 29% ใน 4Q23 และ 32% ใน 3Q24ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ 411 ล้านบาท (-6%YoY,-7%QoQ)

• ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ 58 ล้านบาท (-15%YoY,-28%QoQ)

• ดอกเบี้ยจ่ายที่ 103 ล้านบาท (-25%YoY,+13%QoQ)

• รวมปี 24 AH มีกำไรสุทธิ 747 ล้านบาท (-54%YoY)

**1Q25 ฟื้นเล็กน้อยจาก 4Q24 แต่ลดลงแรงจากปีก่อน **

ภาพรวมปี 25 เบื้องต้นผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ทรงตัวจากปี 24 โดยยังคงมองการฟื้นตัวในช่วง 2H25 เป็นต้นไปเช่นเดิม เพราะช่วงต้นปียังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาหลายด้านทั้งหนี้ครัวเรือนสูงและสถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

สำหรับรายได้จากรถ EV จีน ในปี 25 จะรับรู้คำสั่งซื้อจาก BYD เต็มปี มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท และเริ่มรับรู้รายได้จาก ฉางอัน (มูลค่าไม่มากนัก) ทั้งนี้ AH มองว่าด้วยการตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าจากจีน จะทำให้มีปริมาณการผลิตรถยนต์ EV ในอนาคตจะถึงระดับ 100,000-200,000 คัน ตามเงื่อนไขขอรับการสนับสนุนส่วนลด EV ซึ่งจะมาช่วยชดเชยการชะลอตัวของกลุ่มรถสันดาบเดิมได้ อย่างไรก็ตามประเด็นนี้เรายังมองว่ายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะเดือน ม.ค. มีการผลิตรถยนต์ EV เพียง 1,665 คัน ส่วนคำสั่งซื้อจากโมเดลใหม่ของกลุ่ม Axle จะเริ่มในช่วง 2Q26 เป็นต้นไป โดยมีมูลค่าปีละประมาณ 300 ล้านบาท

ปรับกำไรลงอีกครั้ง

จากแนวโน้ม 1Q25 ที่คาดว่าจะเห็นการลดลงแรงจากปีก่อน แม้อาจจะเติบโตจาก 4Q24 ได้ รวมถึงความเสี่ยงจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายที่มาเลเซียอาจจะได้รับผลกระทบหลังมาตรการกระตุ้นการซื้อรถหมดไป ทำให้เราปรับกำไรปี 25 ลงจากเดิม 29% มาอยู่ที่ระดับ 752 ล้านบาท (+1%YoY) สำหรับคำแนะนำ ด้วยระยะสั้นยังไม่เห็นปัจจัยบวกเข้ามา เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ” เช่นเดิมและประเมินมูลค่าเหมาะสมได้ใหม่ที่ 13.4 บาท (6.3XPER’25E)