สายเทคนิคห้ามพลาด! พาเจาะลึก Indicator พื้นฐานที่นักลงทุนควรรู้จัก

Published
Share this article:
Thai Equity
Global Equity
Mutual Fund
banner image

สายเทคนิคห้ามพลาด! พาเจาะลึก Indicator พื้นฐานที่นักลงทุนควรรู้จัก

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนสายเทคนิค ห้ามพลาด! การวิเคราะห์หุ้นจากกราฟและอินดิเคเตอร์ (Indicator) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ วันนี้ Pi Knowledge จะพาเจาะลึกพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค พร้อมกับแนะนำ Indicator ยอดนิยมที่นักลงทุนต้องรู้จัก

การวิเคราะห์หุ้นจากกราฟเชิงเทคนิคคืออะไร?

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คือการ ศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นในอดีตผ่านกราฟและตัวชี้วัดต่างๆ (Indicator) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาในอนาคต หลักการสำคัญของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ได้แก่

  • แนวโน้มของราคา (Trends) – ราคาหุ้นมักเคลื่อนไหวตามแนวโน้มหลัก
  • ซัพพลายและดีมานด์ (Supply & Demand) – ปริมาณซื้อขายส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา
  • การซ้ำรอยของประวัติศาสตร์ – รูปแบบราคาที่เกิดขึ้นในอดีตสามารถนำมาใช้คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้

ทำความรู้จักกราฟแท่งเทียนคืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร?

กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นกราฟที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ประกอบไปด้วยแท่งสีเขียวและสีแดงซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละช่วงเวลา

  • แท่งสีเขียว (Bullish Candle) – ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ตลาดเป็นขาขึ้น) 🟢
  • แท่งสีแดง (Bearish Candle) – ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ตลาดเป็นขาลง) 🔴

การใช้งานกราฟแท่งเทียน

  • ใช้ดูแนวโน้มของตลาด
  • ช่วยหาจุดเข้าซื้อและขาย
  • วิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนจากรูปแบบแท่งเทียน

Indicator ที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้นมีอะไรบ้าง?

อินดิเคเตอร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคแม่นยำขึ้น โดย Indicator ที่นิยมใช้ ได้แก่

1. MA (Moving Average)

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ใช้ในการดูแนวโน้มราคา โดยมีหลายประเภท เช่น MA 50, MA 200

2. EMA (Exponential Moving Average)

เป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเส้นเอ็กซ์โพเนนเชียล ให้ความสำคัญกับข้อมูลล่าสุดมากกว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น

3. Bollinger Bands (BOLL)

ช่วยวิเคราะห์ความผันผวนของตลาด ประกอบด้วยเส้นกลาง (SMA) และเส้นขอบบน-ล่าง ซึ่งช่วยบอกว่าหุ้นอยู่ในโซน overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ oversold (ขายมากเกินไป)

4. VOL (Volume)

วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อดูแรงซื้อและแรงขาย ถ้าหุ้นขึ้นพร้อมปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้น แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง

5. MACD (Moving Average Convergence Divergence)

ใช้ดูแนวโน้มของราคาและจุดตัดของเส้นค่าเฉลี่ยเพื่อหาสัญญาณซื้อ-ขาย

6. KDJ

Indicator ที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา และสามารถช่วยจับจังหวะการเข้าซื้อ-ขายได้อย่างแม่นยำ

7. RSI (Relative Strength Index)

ใช้วิเคราะห์ระดับ Overbought และ Oversold ค่า RSI ที่สูงกว่า 70 อาจบ่งบอกว่าหุ้นถูกซื้อมากเกินไป ส่วนค่าต่ำกว่า 30 อาจบ่งบอกว่าหุ้นถูกขายมากเกินไป

นักลงทุนควรพิจารณา Indicator ใดร่วมกันบ้างเวลาลงทุน?

การใช้ Indicator หลายตัวร่วมกันสามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำของการวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น

  • EMA + MACD – ใช้จับแนวโน้มของราคาและจุดกลับตัว
  • RSI + Bollinger Bands – ดูจุดเข้าออกจากภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
  • VOL + MA – ช่วยดูแรงซื้อขายประกอบกับแนวโน้ม

ลงทุนที่แอป Pi Financial กราฟแท่งเทียนก็มี Indicator ก็มาครบ สายเทคนิคถูกใจแน่นอน!

หากคุณต้องการแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย มีกราฟแท่งเทียนและ Indicator ครบถ้วน แอป Pi Financial เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนสายเทคนิคครบ ไม่ว่าจะเป็น กราฟแท่งเทียนพร้อม Indicator หลากหลาย, ข่าวและบทวิเคราะห์มากมาย ทั้งยังมีค่าธรรมเนียมในการเทรดที่คุ้มค่า ช่วยให้คุณเทรดได้สะดวกทั้งหุ้นไทย , หุ้นสหรัฐ , กองทุนรวม , TFEX และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย

สายเทคนิคต้องไม่พลาด!

คำเตือน

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

About Author

profile icon
Pi Content Team
Pi Securities Public Company Limited