พันธบัตร VS หุ้นกู้ แตกต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดีกว่ากัน
พันธบัตรและหุ้นกู้แตกต่างกันอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง
“ตราสารหนี้” เป็นการลงทุนที่ได้รับลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเงินกู้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ “พันธบัตร” และ “หุ้นกู้” ซึ่งให้ผลตอบแทนที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ได้รับ แต่เราจะเหมาะกับการลงทุนแบบไหน และทั้งการลงทุนทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยกัน
ตราสารหนี้คืออะไร มีจุดเด่นในการลงทุนอย่างไร ?
ก่อนที่จะไปดูว่าพันธบัตรและหุ้นกู้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เราไปทำความเข้าใจกันก่อนว่า ตราสารหนี้ คืออะไร เป็นการลงทุนแบบไหน
ตราสารหนี้ (Bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเงินกู้ ผู้ซื้อหรือผู้ลงทุนมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ และผู้ที่ออกตราสารหนี้มีสถานะเป็นลูกหนี้ โดยระหว่างสัญญาอาจได้รับดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาจะได้รับเงินต้นคืน
จุดเด่นของการลงทุนในตราสารหนี้ คือ ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป หากเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลจะมีความเสี่ยงที่ต่ำมาก เนื่องจากมีความมั่นคงสูง โอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้น้อยมาก เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยเอกชนจะมีความเสี่ยงสูงถึงปานกลาง เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ประเภทของตราสารหนี้
แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- ตราสารหนี้รัฐบาล (Government Bond) ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวง รัฐวิสาหกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ตราสารหนี้เอกชน (Corporate Bond) ออกโดยบริษัทเอกชน
พันธบัตรคืออะไร ทำไมหลายคนชอบลงทุน ?
พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยจะจ่ายเงินคืนในรูปแบบของดอกเบี้ย ผู้ลงทุนมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล มีความปลอดภัยสูง และมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ พูดง่าย ๆ ก็คือ เราปล่อยเงินกู้ให้แก่รัฐบาลนำเงินไปพัฒนาประเทศหรือก่อสร้างโครงการต่าง ๆ นั่นเอง
พันธบัตรมีกี่ประเภท ?
พันธบัตรแต่ละประเภทจะมีระยะเวลา การจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น รวมถึงรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุนทุกครั้ง โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังต่อไปนี้
- ตั๋วเงินคลัง อายุ 1 ปี ออกโดยกระทรวงการคลัง เหมาะกับการลงทุนในระยะสั้น
- พันธบัตรรัฐบาลแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ มีอายุ 1 ปีขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ปีละ 2 ครั้ง
- พันธบัตรรัฐบาลอัตราดอกเบี้ยลอยตัว มีอายุ 1 ปีขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สอดคล้องกับดอกเบี้ยในตลาด
- พันธบัตรรัฐบาลชดเชยเงินเฟ้อ มีอายุ 1 ปีขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนตามอัตราเงินเฟ้อ
- พันธบัตรออมทรัพย์ เป็นพันธบัตรระยะยาว เพื่อส่งเสริมการออมของประชาชน จ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราในตลาด ออกโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานภาครัฐ
- พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ออกโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน
- พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
จุดเด่นที่สำคัญของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
- ความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากออกโดยรัฐบาล หรือมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ค้ำประกัน
- มีความน่าเชื่อถือสูง มีความปลอดภัยและมั่นคง โอกาสที่จะไม่ชำระหนี้ต่ำมาก
- ผลตอบแทนคงที่ สามารถวางแผนทางการเงินระยะยาวได้ และสามารถรักษาเงินต้นเอาไว้ได้ แม้ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ หรือผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้น
ข้อจำกัดของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
- สภาพคล่องต่ำ ไม่สามารถขายหน่วยการลงทุนได้ตามต้องการ เนื่องจากไม่มีนโยบายรับซื้อคืนก่อนกำหนด
- ผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน
หุ้นกู้คืออะไร เสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ?
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยบริษัทเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อการระดมทุนในการทำกิจการต่าง ๆ จ่ายผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะจ่ายปีละ 2 ครั้ง มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง โดยผู้ที่ลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้
หุ้นกู้มีกี่ประเภท ?
ประเภทของหุ้นกู้แบ่งตามวิธีจ่ายดอกเบี้ย
- ชนิดจ่ายดอกเบี้ยคงที่ โดยจะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ตลอดอายุหุ้นกู้
- ชนิดจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว ปรับการจ่ายดอกเบี้ยตามอัตราอ้างอิง
- ชนิดไม่จ่ายดอกเบี้ย จ่ายคืนเฉพาะเงินต้นเมื่อครบระยะเวลา แต่มักขายหุ้นกู้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ระบุเอาไว้หน้าตั๋ว
หุ้นกู้ตลาดแรกกับหุ้นกู้ตลาดรอง ต่างกันอย่างไร ?
นอกจากจะต้องรู้จักประเภทของหุ้นกู้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจะต้องทำความเข้าใจคือ ความแตกต่างของหุ้นกู้ตลาดแรกและหุ้นกู้ตลาดรอง
- หุ้นกู้ตลาดแรก (Primary Market) คือ หุ้นกู้ที่ซื้อโดยตรงจากบริษัทเป็นครั้งแรก โดยราคาที่ขายจะเป็นราคาตามหน้าตั๋ว ต้องซื้อในช่วงเวลาที่ประกาศขายเท่านั้น
- หุ้นกู้ตลาดรอง (Secondary Market) คือ หุ้นกู้ที่เปลี่ยนมือระหว่างนักลงทุน ผ่านโบรกเกอร์หรือธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจจะมีราคาแพงกว่าหรือถูกกว่าหน้าตั๋วก็ได้ และสามารถซื้อขายได้ทุกวัน
จุดเด่นที่สำคัญของการลงทุนในหุ้นกู้
- ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์และพันธบัตรรัฐบาล
- สร้างรายได้ประจำที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
- เสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น
- สามารถซื้อขายและเปลี่ยนมือได้ ไม่ต้องรอให้ครบกำหนด
ข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นกู้
- มีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ที่อาจจะทำให้มูลค่าของหุ้นกู้ลดลง
- มีความเสี่ยงที่บริษัทจะผิดชำระหนี้หรือล้มละลาย อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินต้นได้
เปรียบเทียบหุ้นกู้ VS พันธบัตร แบบไหนเหมาะกับเรามากกว่ากัน
คุณลักษณะ | พันธบัตรรัฐบาล | หุ้นกู้ |
---|---|---|
ผู้ออก | รัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ | บริษัทเอกชน |
ความเสี่ยง | ต่ำ | ปานกลางถึงสูง |
ผลตอบแทน | ค่อนข้างน้อย | สูงกว่าพันธบัตรและการฝากเงิน |
สภาพคล่อง | ต่ำ ไม่สามารถเปลี่ยนมือได้ | ปานกลาง สามารถเปลี่ยนมือได้ |
เหมาะกับ | นักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและรับความเสี่ยงได้น้อย | นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและสามารถรับความเสี่ยงได้ |
ลงทุนพันธบัตรและหุ้นกู้กับ Pi Financial
การกระจายความเสี่ยงการลงทุน เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น ดังนั้น จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การลงทุน ความเสี่ยงที่รับได้ และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคน
สำหรับผู้ที่ต้องการ ลงทุนในหุ้นกู้ ทั้งตลาดแรกและตลอดรอง สามารถลงทุนผ่าน Pi Financial แอปพลิเคชันเพื่อการซื้อขายและการลงทุนสำหรับทุกคน พร้อมอัปเดตข่าวสารทางการเงินและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ สามารถใช้งานได้ในทุกที่ทุกเวลา มั่นใจด้วยประสบการณ์ให้บริการลูกค้ากว่า 50 ปี
สนใจลงทุนในหุ้นกู้ตลาดแรก ติดต่อ Pi Financial ได้ที่ 02-205-7000 ต่อ 8884
สนใจลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรอง ติดต่อ Pi Financial ได้ที่ 02-205-7082 ต่อ 4
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน