สนใจลงทุนหุ้นสหรัฐต้องรู้ ดัชนี S&P500, NASDAQ และ Dow Jones ต่างกันอย่างไร?
ทำความรู้จักดัชนีหุ้นสหรัฐฯ : S&P500, NASDAQ และ Dow Jones
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเป็นที่จับตามองของนักลงทุนนานาชาติ ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ อย่าง S&P500, NASDAQ และ Dow Jones ต่างมีความสำคัญและสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจในมุมมองที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างของดัชนีเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งความใหญ่และสภาพคล่องของตลาดนี้เองที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจและใช้เป็นเครื่องชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจโลก
โดยมีดัชนีหุ้นต่าง ๆ ทำหน้าที่สะท้อนภาพรวมของตลาดและเศรษฐกิจในมุมมองที่แตกต่างกัน จึงช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งดัชนีหุ้นที่ได้รับความสนใจอย่างมากและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือ ดัชนี S&P 500, NASDAQ และดัชนี Dow Jones
ดัชนี S&P500 คืออะไร ?
S&P 500 คือดัชนีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1957 โดย Standard & Poor's ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการเงินชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ
วิธีการคัดเลือกและคำนวณดัชนี S&P500
พิจารณาจากมูลค่าตลาด สภาพคล่อง และปัจจัยอื่น ๆ โดยคณะกรรมการของ S&P Dow Jones Indices และคำนวณดัชนีโดยใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization Weighted) ทำให้บริษัทที่มีขนาดใหญ่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่า
องค์ประกอบหลักและสัดส่วนอุตสาหกรรมในดัชนี S&P500
ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีสัดส่วนหลักจากเทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค
ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500
ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ที่คนทั่วไปรู้จักดี ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon และ Alphabet (Google)
จุดเด่นและข้อจำกัดของดัชนี S&P 500
จุดเด่นของ S&P 500 คือความครอบคลุมและการเป็นตัวแทนที่ดีของตลาดโดยรวม ทำให้เป็นที่นิยมในการใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับกองทุนและผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดคือการที่บริษัทขนาดใหญ่มีอิทธิพลต่อดัชนีมาก อาจไม่สะท้อนการเคลื่อนไหวของบริษัทขนาดเล็กถึงกลางมากนัก
ดัชนี NASDAQ คืออะไร ?
NASDAQ (National Association of Securities Dealers Automated Quotations) คือดัชนีที่มีชื่อเสียงในฐานะตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1971 เป็นตลาดหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของโลก
วิธีการคัดเลือกและคำนวณดัชนี NASDAQ
ดัชนี NASDAQ Composite ประกอบด้วยหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ซึ่งมีมากกว่า 3,000 บริษัท ส่วนดัชนี NASDAQ-100 เป็นดัชนีย่อยที่ประกอบด้วย 100 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในตลาด NASDAQ การคำนวณดัชนี NASDAQ ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเช่นเดียวกับ S&P 500 แต่มีการกำหนดเพดานน้ำหนักสูงสุดสำหรับหุ้นแต่ละตัวเพื่อลดผลกระทบจากหุ้นขนาดใหญ่มาก
องค์ประกอบหลักและสัดส่วนอุตสาหกรรมในดัชนี NASDAQ
องค์ประกอบของ NASDAQ มีสัดส่วนสูงในกลุ่มเทคโนโลยี การสื่อสาร และบริการอินเทอร์เน็ต
ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ในดัชนี NASDAQ
ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ในดัชนี NASDAQ ที่คนทั่วไปรู้จัก ได้แก่ Tesla, NVIDIA, Meta (Facebook) และ Netflix
จุดเด่นและข้อจำกัดของ NASDAQ
จุดเด่นของ NASDAQ คือการเป็นตัวแทนที่ดีของภาคเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจในอุตสาหกรรมเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดคือความผันผวนที่อาจสูงกว่าดัชนีอื่น ๆ เนื่องจากลักษณะของหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) ที่เป็นองค์ประกอบหลัก
ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average (DJIA) คืออะไร ?
Dow Jones Industrial Average หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดัชนีดาวโจนส์” คือดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1896 โดย Charles Dow นักสื่อสารมวลชนที่เก่งฉกาจด้านการวิเคราะห์ธุรกิจ การเงิน และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเดอะวอลลสตรีทเจอร์นัล ดัชนีดาวโจนส์ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 30 บริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
วิธีการคัดเลือกและคำนวณดัชนี Dow Jones
การคำนวณ Dow Jones ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามราคา (Price-Weighted) ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอื่น ๆ วิธีนี้ทำให้หุ้นที่มีราคาต่อหุ้นสูงมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่า โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าตลาดของบริษัท
องค์ประกอบหลักและสัดส่วนอุตสาหกรรมในดัชนี Dow Jones
ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, อุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค
ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ในดัชนี Dow Jones
ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ในดัชนี Dow Jones ที่คนทั่วไปรู้จัก ได้แก่ Boeing, Coca-Cola, McDonald's และ Nike
จุดเด่นและข้อจำกัดของ Dow Jones
จุดเด่นของดัชนี Dow Jones คือประวัติที่ยาวนานและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย จึงทำให้มักถูกอ้างอิงในสื่อต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดคือการมีองค์ประกอบเพียง 30 บริษัท และใช้วิธีการคำนวณที่อาจไม่สะท้อนภาพรวมของตลาดได้ดีเท่าดัชนีอื่น ๆ
เปรียบเทียบ ดัชนี S&P500, NASDAQ และดัชนี Dow Jones
**คุณลักษณะ** | **S&P500** | **NASDAQ** | **Dow Jones** |
---|---|---|---|
จำนวนหุ้น | 500 | NASDAQ-100 : 100 ตัว, NASDAQ Composite : มากกว่า 3,000 ตัว(รวมหุ้นทุกตัวในดัชนี NASDAQ) | 30 |
วิธีคำนวณ | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (มีเพดาน) | ถ่วงน้ำหนักตามราคา |
ความครอบคลุม | หลากหลายอุตสาหกรรม | เน้นบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเท่านั้น | บริษัทขนาดใหญ่หลากหลายอุตสาหกรรม |
ความเหมาะสมในการใช้เป็น Benchmark | สูง | ปานกลาง (เฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี) | ต่ำ |
กลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ดัชนีต่าง ๆ เพื่อสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง
การลงทุนแบบ Passive ผ่าน ETFs หรือ Index Fundsการลงทุนแบบ Passive ผ่าน ETFs หรือ Index Funds เป็นวิธีที่ง่ายและมีค่าใช้จ่ายต่ำ โดย ETFs (Exchange Traded Fund) สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น ส่วน Index Funds เป็นกองทุนรวมที่บริหารแบบ Passive ลงทุนตามองค์ประกอบของดัชนี วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดโดยรวม โดยไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์หุ้นรายตัว
การใช้ดัชนีในการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นรายตัวสามารถใช้ดัชนีในการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นรายตัว โดยใช้องค์ประกอบของดัชนีเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาหุ้นที่น่าสนใจ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโต รวมถึงพิจารณาหุ้นที่อาจถูกเพิ่มเข้าหรือถอดออกจากดัชนีในอนาคต
การกระจายความเสี่ยงโดยใช้ดัชนีที่หลากหลายการกระจายความเสี่ยงโดยใช้ดัชนีที่หลากหลาย ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่สำคัญ ทำได้โดยการลงทุนในดัชนีที่แตกต่างกัน เช่น ผสมระหว่าง S&P 500, NASDAQ และดัชนีต่างประเทศ หรือพิจารณาสัดส่วนการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุน รวมถึงการใช้ดัชนีที่หลากหลายเพื่อปรับสมดุลพอร์ตเป็นระยะ ๆ
การใช้ดัชนีเป็น Benchmark เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานการใช้ดัชนีเป็น Benchmark เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน ก็มีประโยชน์ในการวัดผลการลงทุนของตนเองหรือประเมินความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยควรเปรียบเทียบผลตอบแทนกับดัชนีที่เหมาะสม
การปรับสัดส่วนการลงทุนตามวัฏจักรเศรษฐกิจการปรับสัดส่วนการลงทุนตามวัฏจักรเศรษฐกิจก็เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรพิจารณา โดยอาจเพิ่มสัดส่วนใน NASDAQ หรือดัชนีที่มีหุ้นเติบโตสูงในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น และเน้น S&P 500 หรือดัชนีที่มีความผันผวนต่ำกว่าในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้ ควรติดตามนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคเพื่อคาดการณ์แนวโน้มและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
ไม่ว่าจะซื้อ หุ้นอเมริกา รายตัวในดัชนี S&P500, NASDAQ และ Dow Jones หรือลงทุนแบบ Passive ผ่าน กองทุนดัชนี ก็ลงทุนได้ที่ Pi Financial แอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ ให้คุณเริ่มต้นเล่นหุ้นต่างประเทศได้ง่าย ๆ พร้อมข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครบครัน
คำเตือน
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน