TTB (HOLD : Fair Price : Bt 2.10) : การเติบโตชะลอตัว และผลตอบแทนจำกัด

Published
Share this article:

เราปรับคำแนะนำเป็น "ถือ" ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 2.10 บาท โดยคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 6.7%-7.3% ในปี 2024-26 การปรับลดคำแนะนำของเราสะท้อน (1) คาดการเติบโตกำไรสุทธิปี 2025-26 ชะลอตัวที่ 4.8-4.5% ในปี 2025-26 จาก 11.9% ในปี 2024 (2) ตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีสัดส่วน 30% ของสินเชื่อรวมยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น (3) อัตราผลตอบแทนการลงทุนจำกัดหลังจากราคาหุ้นปรับสูงขึ้น 15% YTD เทียบกับ SETBANK ที่ปรับขึ้น 5.1% YTD สำหรับใน 3Q24 เราคาดกำไรสุทธิที่ 5.1 พันล้านบาท (+8.7% YoY, -3.9% QoQ) คุณภาพสินเชื่อทรงตัว โดยมี NPL ratio ที่ 2.7% และ Coverage ratio ลดลงที่ 149.2%

คาดกำไรสุทธิใน 3Q24 เติบโต YoY แต่ลดลง QoQ

• เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 3Q24 ที่ 5.1 พันล้าน (+8.7% YoY, -3.9% QoQ) กำไรที่ขยายตัว YoY เนื่องจากผลประโยชน์ทางภาษีเป็นหลักหลังจากที่ TTB ยังมีค่าใช้จ่ายภาษีตามปกติใน 3Q23 เราสมมติฐานผลประโยชน์ภาษีที่ 9% ของกำไรก่อนภาษี เทียบกับที่มีอัตราภาษีจ่าย 19.3% ใน 2Q23 เทียบกับใน 2Q24 คาดกำไรสุทธิจะลดลง QoQ เพราะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจากสินเชื่อลดลง และ NIM ปรับลดลงที่ 3.2% (-3 bps QoQ, -14 bps YoY)

• เราคาดสินเชื่อจะปรับลดลงต่อเนื่อง 2.5% QoQ (-7.2% YoY) หลังจากสินเชื่อสุทธิในเดือน ก.ค.-ส.ค. ลดลง 2% จากเดือน มิ.ย. การปรับลดลงของสินเชื่อยังคงถูกกดดันจากตลาดสินเชื่อเช่าซื้อที่อ่อนแอ และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่จากเศรษฐกิจฟื้นตัวเปาะบาง โดยเราปรับประมาณการสินเชื่อปี 2024 ลดลง 4.3% จากเดิมลดลง 2.2% YoY

• การควบคุมคุณภาพสินเชื่อเป็นกลยุทธ์หลักของธนาคาร เราคาดว่า NPL ratio ปรับขึ้นเล็กน้อย QoQ ที่ 2.7% เพราะฐานสินเชื่อที่ลดลง และ Coverage ratio ลดลงที่ 149.2%

คาดกำไรปี 2025-26 เติบโตชะลอตัว

• ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปาะบาง เรามองว่า TTB ไม่เปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจด้วยการเน้นเติบโตอย่างมีคุณภาพ และพัฒนาระบบดิจิตอลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน กอปรกับ ธนาคารยังมีผลประโยชน์ทางภาษีคงเหลือกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่ต้องเร่งเติบโต ดังนั้น คาดว่ากำไรจะเติบโตที่ 11.9% ในปี 2024

• อย่างไรก็ดี สินเชื่อที่หดตัวและแรงกดดันจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลง ทำให้การเติบโตของกำไรอยู่ในช่วงการชะลอตัว โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2025-26 จะเติบโต 4.8%/4.5%

ปรับคำแนะนำเป็น "ถือ" ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ 2.10 บาท

เราปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ 2.10 บาท (เดิม 1.95 บาท) จากการ Roll over เป็นปี 2025 เรามองว่า Upside gain จำกัด และอัตราการเติบโตชะลอตัวในปี 2025-26 โดยมูลค่าพื้นฐานคำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 9%, TG 2%) อิงจาก 0.8x PBV’24E หรือ -0.5SD ต่อค่าเฉลี่ย 10 ปี