STECON (BUY : Fair Price : Bt 11.60) : ปี 24 โดนหนองบอนกดดัน

Published
Share this article:

เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ในรูปแบบเก็งกำไรเท่านั้น ในประเด็นการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐฯ และการเซ็นสัญญาขนาดใหญ่ที่จะเข้ามากว่า 30,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ Backlog ณ สิ้นปีมีกลับไปมากกว่า 100,000 ล้านบาท ขณะที่หลังจากปรับโครงสร้างแล้ว STECON ตั้งเป้ารายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2030) จะมีรายได้ที่ระดับ 45,000 ล้านบาท จากระดับ 30,000 ล้านบาทในปี 24 ซึ่งจะมาจากธุรกิจหลักที่เกี่ยวกับงานก่อสร้างประมาณ 10,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากธุรกิจใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนเช่น โรงไฟฟ้า หรือธุรกิจน้ำ เป็นต้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าวจะหนุนอัตรากำไรให้เพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ปัจจัยลบระยะสั้นคืองบปี 24 คาดว่าจะขาดทุนประมาณ 137 ล้านบาท

3Q24 ขาดทุนสุทธิ 147 ล้านบาท สวนทางที่คาดว่าจะกำไร

• STEC มีผลขาดทุนงวด 3Q24 ที่ 147 ล้านบาท พลิกจากที่มีกำไร 130 ล้านบาทใน 3Q23 และ 25 ล้านบาทใน 2Q24 รวมถึงที่เราคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ต่ำกว่าที่คาด

• รายได้หลักที่ 7,349 ล้านบาท (-7%YoY,-13%QoQ) ลดลงเพราะงานโรงไฟฟ้าโซล่า มีการเร่งก่อสร้างไปมากในช่วง 2Q24 ที่ผ่านมา แม้ว่างานรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้จะเริ่มงานขุดเจาะแล้ว

• กำไรขั้นต้นเหลือ 3.6% ลดลงจาก 4.5% ใน 3Q23 เพราะยังมีต้นทุนซ่อมอุโมงหนองบอนเข้ามาอีกกว่า 70 ล้านบาท แต่ดี 2.8% ใน 2Q24 เพราะต้นทุนงานซ่อมแซมอุโมงระบายน้ำหนองบอนต่ำกว่า (2Q24 มีประมาณ 120 ล้านบาท) ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ 235 ล้านบาท (-3%QoQ) แต่เพิ่มขึ้น 72%YoY สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายพนักงานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้

• ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ 142 ล้านบาท (+164%YoY,-14%QoQ) สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนแปลงมากคือโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู (ปีก่อนยังไม่มีสายสีชมพู ส่วนเทียบกับบไตรมาสก่อนหน้ามีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น)

ตั้งเป้ารายได้ 45,000 ล้านบาทในปี 2030

STECON มีแผนเข้าไปลงทุนในธุรกิจอื่นเพิ่มนอกเหนือจากงานก่อสร้าง โดยสิ่งแรกที่ลงทุนแล้วคือโรงผลิตน้ำที่คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 25 เป็นต้นไป (กำลังการผลิตรวมประมาณ 40,000 ลูกบาศน์ลิตรต่อวัน) ส่วนธุรกิจต่อไปที่จะเข้าลงทุนคือธุรกิจ Data Center นอกจากนี้ยังมีการมองหาธุรกิจด้านพลังงานเพิ่มด้วย เช่นโรงไฟฟ้าพลังงานขยะหรือโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ เป็นต้น โดยรายได้จากธุรกิจใหม่จะอยู่ในระดับ 3,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของเป้ารายได้ในปี 2030 ที่ 45,000 ล้านบาทจากระดับ 30,000 ล้านบาทในปัจจุบัน (อีก 10,000 ล้านบาทมาจากธุรกิจก่อสร้าง)

ปี 24 คาดขาดทุน แต่จะมีงานใหม่เข้ามาเพิ่มคงคำแนะนำ “ซื้อ”

จากผลขาดทุนในช่วง 9M24 กว่า 110 ล้านบาททำให้เราประเมินว่าในปี 24 STECON จะมีผลขาดทุนประมาณ 137 ล้านบาท แรงกดดันหลักมาจากต้นทุนงานบึงหนองบอนที่คาดว่าทั้งปีจะมีประมาณ 300 ล้านบาท และคาดว่าจะมีอีกจนถึง 2Q25 อย่างไรก็ตามทางผู้บริหารแจ้งว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวอยู่ระหว่างการเครมประกัน ซึ่งจะมีมูลค่าครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ ส่วนโครงการที่ทำกับไทยออยล์มูลค่ากว่า 5,200 ล้านบาท ผู้บริหารคาดว่าจะไม่ต้องตั้งสำรองแต่อย่างใดสำหรับคำแนะนำการลงทุน ด้วยการที่คาดว่าในช่วงปลายปีจะมีการเซ็นงานใหม่กว่า 34,000 ล้านบาทและทำให้ Backlog ณ สิ้นปีกลับไปแตะระดับ 100,000 ล้านบาทจาก ณ สิ้น 9M24 มีประมาณ 60,000 ล้านบาทและการเปิดประมูลงานภาครัฐที่จะทยอยออกมา เราจึงยังคงแนะนำ “เก็งกำไร” เช่นเดิมโดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 11.6 บาท (1XPBV’24E)