CRC (BUY : Fair Price : Bt 43.00) : ไทวัสดุคือพระเอก 2H24

Published
15 July 2024
Share this article:

**เรามองบวกต่อการเติบโตของธุรกิจฮาร์ดไลน์ของ CRC หลังเยี่ยมชมไทวัสดุสาขาบางนา ซึ่งเป็นสาขาที่รวมไทวัสดุ และ BNB ไว้ที่เดียวกัน โดยเราเชื่อโมเดลนี้จะทำให้ไทวัสดุสามารถเจาะกลุ่มลูกค้า B2C และสร้างการเติบโตของยอดขายตามเป้าหมายของบริษัทที่ 12%CAGR (2023-2028) ในแง่ของอัตราการทำกำไร เราเชื่อว่าจะขยายตัวได้จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House brands จากปัจจุบันที่ 20% ซึ่งจะหักกลบกับการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เห็นได้จากที่ HomePro ส่ง Mega Home มาเจาะตลาด B2B ขณะที่ไทวัสดุก็ทำตลาด B2C มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าภาพลักษณ์ของสาขาที่ดึงดูด กลยุทธ์เรื่องราคาที่แข่งขันได้ จะทำให้ไทวัสดุเติบโตได้โดดเด่นกว่ากลุ่ม เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 43.00 บาท **

ไทวัสดุคือกำไร ¼ ของ CRC

• CRC ถือหุ้น 100% ในบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและเครื่องตกแต่งบ้านภายใต้แบรนด์ “ไทวัสดุ” และ “บ้าน แอนด์ บียอนด์” (BNB) โดยมีสาขาส่วนใหญ่กว่า 35% อยู่ใน กทม. และปริมณฑล ที่เหลือกระจายอยู่ในเมืองที่มีกำลังซื้อสูงในภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ

• ไทวัสดุมีรูปแบบร้าน 3 แบบ ปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่เป็นรูปแบบสีแดง

  1. รูปแบบสีแดง มียอดขายสัดส่วน 60% เป็นลูกค้า B2B มีพื้นที่ขายราว 16,000 ตร.ม. มีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่ม Hardline 70%

  2. รูปแบบสีขาว (ไทวัสดุ+BNB) มียอดขายสัดส่วน 60% เป็นลูกค้า B2C มีพื้นที่ขายราว 20,000 ตร.ม. มีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่ม Hardline 60%

  3. รูปแบบสีฟ้า เป็นร้านขนาดเล็ก

• เราทำการศึกษาจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่รายงานค่าใช้จ่ายการบริโภคขั้นสุดท้ายในหมวดสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านเทียบกับยอดขายของไทวัสดุจะพบว่าไทวัสดุมีส่วนแบ่งการตลาดราว 11% ในปี2023 เพิ่มขึ้นจาก 6% ในปี 2017 ขณะที่ผู้นำตลาด (HomePro) ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ 15% ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา (ตามรูปหน้าที่ 2)

• ไทวัสดุมีรายได้เติบโตกว่าเท่าตัวในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาจาก 2 หมื่นล้านบาทในปี2017 เป็น 4 หมื่นล้านบาทในปี 2023 ที่ 12%CAGR (2017-2023) สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ 1% CAGR (2017-2023) หักตัดช่วง COVID-19 จะพบว่าอุตสาหกรรมเติบโตราว 3.3% ต่อปี ใกล้คียงกับ GDP ประเทศไทย นอกจากนี้ไทวัสดุมีกำไรเติบโตจาก 681 ล้านบาทในปี 2017 เป็น 1.7 พันล้านบาทในปี2023 จากการขยายสาขาจาก 48 สาขาในปี2015 เป็น 81 สาขา ณ สิ้นปี2023

• ไทวัสดุมีโดเดลธุรกิจที่แตกต่างจากคู่แข่ง คือที่ดินของสาขาส่วนใหญ่เป็นการเช่าระยะยาว มีเพียง 6% ที่เป็น freehold ทำให้ใช้เงินลงทุนที่ต่ำสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว และมียอดขายเติบโตสูงกว่าคู่แข่ง แต่ก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงกว่าจากค่าเช่าพื้นที่สาขา แต่อย่างไรก็ตาม ณ สิ้น 2Q24 ไทวัสดุปรับเพิ่มสัดส่วน freehold เป็น 35% จากการซื้อที่ดิน 24 แปลง มูลค่า 5.6 พันล้านบาท ทำให้อัตรากำไรสุทธิมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และสร้างความมั่นคงด้านทำเลที่ตั้งสาขาในระยะยาว

ไทวัสดุยังคงเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยที่ 12% ต่อปี ในช่วง 2023-2028

• ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเป็น 7 หมื่นล้านบาท หรือ +12% CAGR (2023-2028) จากการขยาย 6-8 สาขาต่อปี การเพิ่มสินค้าใหม่ๆ และการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มลูกค้าเจ้าของบ้านมากขึ้นจากเดิมที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมา

• ปี 2024 มีแผนเปิด 8 สาขา แบ่งเป็นสาขาไทวัสดุ 6 สาขา เป็นสาขาแบบ Hybrid (ไทวัสดุ+BNB) 2 สาขา และการปรับ 5 สาขาให้เป็นรูปแบบ Hybrid store

คงคำแนะนำ "ซื้อ" ไทวัสดุคือพระเอก 2H24

มูลค่าพื้นฐาน 43.00 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ด้วย WACC 8.6% และ TG 2.5% เทียบเท่า 29xPE’24E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มพาณิชย์ไทย