เปรียบเทียบกองทุน SSF/RMF/ThaiESG วางแผนลดหย่อนภาษีปีนี้ กองทุนประเภทไหนเหมาะกับคุณ

Published
Share this article:
banner image

เปรียบเทียบกองทุน SSF/RMF/ThaiESG วางแผนลดหย่อนภาษีปีนี้ กองทุนประเภทไหนเหมาะกับคุณ

ใกล้ถึงปลายปี ฤดูกาลลดหย่อนภาษีก็วนมาอีกครั้งแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องวางแผนลดหย่อนภาษี หลายคนอาจมีคำถามว่าจะลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทไหนดี โดยเฉพาะในประเทศไทยที่รัฐบาลมีการออกกองทุนลดหย่อนภาษีออกมาหลายประเภทให้นักลงทุนได้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น กองทุน SSF (Super Savings Fund), RMF (Retirement Mutual Fund) และ กองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ล่าสุดอย่าง ThaiESG (Thailand ESG Fund) กองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทมีทั้งข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน และอาจจะเหมาะกับนักลงทุนที่ต่างกัน วันนี้ Pi Knowledge จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกองทุน SSF/RMF/ThaiESG ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยคุณตัดสินใจเลือกกองทุนที่ตรงตามความต้องการของคุณมากที่สุด

1. กองทุน SSF (Super Savings Fund)

เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษี

สิทธิประโยชน์ทางภาษี

  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมินต่อปี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • นับรวมกับกองทุนเพื่อการออมและกองทุนเพื่อเกษียณรูปแบบอื่นๆ ได้แก่ กองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ และประกันบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

ระยะเวลาการลงทุน

ลงทุนขั้นต่ำ 10 ปี (นับแบบวันชนวัน)

ลงทุนต่อเนื่อง

ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี

สินทรัพย์ที่ลงทุน

สามารถเลือกลงทุนได้ในทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งใน หุ้น, ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั้งในไทยและต่างประเทศ

ข้อดี

  • ระยะเวลาในการถือครองไม่นานมาก ไม่จำเป็นต้องรอจนอายุครบ 55 ปี
  • สามารถเลือกลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ไม่จำกัดแค่หุ้นและตราสารหนี้ในไทยเท่านั้นเหมือนกองทุน ThaiESG

ข้อเสีย

  • ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 10 ปี ซึ่งอาจถือเป็นระยะเวลาที่นานสำหรับนักลงทุนบางท่าน
  • ณ ปัจจุบัน ปี 2567 จะเป็นปีสุดท้ายที่นักลงทุนจะสามารถซื้อกองทุน SSF และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • มีความเสี่ยงตามความผันผวนของตลาด กลยุทธ์การลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงระหว่าง 10 ปี แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการ Switch กองทุนไปหากองทุน SSF กองอื่นที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในอนาคตโดยไม่เสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี

2. กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund)

เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษี

สิทธิประโยชน์ทางภาษี

  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมินต่อปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  • นับรวมกับกองทุนเพื่อการออมและกองทุนเพื่อเกษียณรูปแบบอื่นๆ ได้แก่ กองทุน SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ และประกันบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

ระยะเวลาการลงทุน

ต้องถือครองจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และ ต้องถือครองต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีปฎิทิน

ลงทุนต่อเนื่อง

ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี โดยสามารถเว้นได้ไม่เกิน 1 ปี

สินทรัพย์ที่ลงทุน

สามารถเลือกลงทุนได้ในทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งใน หุ้น, ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั้งในไทยและต่างประเทศ

ข้อดี

  • มีวงเงินลดหย่อนภาษีสูงกว่ากองทุน SSF
  • เน้นการลงทุนเพื่อการเกษียณซึ่งช่วยให้มีเงินสำรองในวัยเกษียณ

ข้อเสีย

  • ต้องถือครองนานจนถึงอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  • มีความเสี่ยงตามความผันผวนของตลาด กลยุทธ์การลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาถือครองที่นานมาก แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการ Switch กองทุนไปหากองทุน RMF กองอื่นที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในอนาคตโดยไม่เสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี

3. กองทุน ThaiESG (Thailand ESG Fund)

เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษี

สิทธิประโยชน์ทางภาษี

  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมินต่อปี แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
  • มีวงเงินการลดหย่อนภาษีแยกออกมาจากกองทุนเพื่อการออมและการเกษียณรูปแบบอื่นๆ ได้แก่ SSF, RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ และประกันบำนาญ

ระยะเวลาการลงทุน

ลงทุนขั้นต่ำ 5 ปี (นับแบบวันชนวัน)

ลงทุนต่อเนื่อง

ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี

สินทรัพย์ที่ลงทุน

ลงทุนได้เฉพาะหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทย ที่ดำเนินการตามหลักความยั่งยืน หรือ ESG โดยต้องได้รับการจัดอันดับจาก SET ESG Rating หรือ อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล หรือระดับการประเมิน CG Rating ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors : IOD)

ข้อดี

  • ระยะถือครองสั้นที่สุด เปรียบเทียบกับกองทุนลดหย่อนภาษีทุกประเภท
  • มีวงเงินการลดหย่อนภาษีแยกจากกองทุนเพื่อการออม และกองทุนเพื่อการเกษียณรูปแบบอื่นๆ ออกมาอีก 300,000 บาท ทำให้สามารถลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีฐานภาษีสูง
  • สนับสนุนบริษัทที่มีการดำเนินงานตามหลักความยั่งยืน

ข้อเสีย

  • มีตัวเลือกการลงทุนที่จำกัดอยู่เฉพาะหุ้นไทยและพันธบัตรไทยไม่กี่ตัวที่ได้รับการจัดอันดับจาก SET ESG Rating หรือ CG Rating เท่านั้น
  • ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่ากับกองทุนที่ลงทุนในกองทุน SSF/RMF ที่ลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า

กองทุน SSF/RMF/ThaiESG เหมาะกับใคร

นอกจากปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว นักลงทุนอาจจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีกหลายปัจจัยว่าจะลงทุนกองทุน SSF/ RMF/ ThaiESG หรือไม่ หรือลงทุนในสัดส่วนเท่าไรของพอร์ตลงทุน เช่น กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน, ผลตอบแทนที่คาดหวัง, ความสามารถในการถือครอง, ความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนในอนาคต เป็นต้น

1. กองทุน SSF

  • เหมาะกับนักลงทุนที่ยังอายุไม่มาก ที่ไม่อยากลงทุนระยะยาวจนถึงอายุ 55 ปี
  • หากฐานภาษีไม่สูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุน SSF ให้ครบก่อนแล้วค่อยกระจายไปลงในกองทุน RMF, ThaiESG เนื่องจากมีระยะเวลาการถือครองที่สั้นกว่ากองทุน RMF, มีตัวเลือกกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่ากองทุน ThaiESG และนักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะยังไม่ต้องการวงเงินในการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากกองทุน ThaiESG

2. กองทุน RMF

  • สำหรับนักลงทุนอายุน้อย เหมาะกับนักลงทุนที่ตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อวางแผนเกษียณในระยะยาว และไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนที่นำมาลงทุนในระยะเวลาอันใกล้
  • เหมาะกับนักลงทุนที่ใกล้อายุครบ 55 ปี เพราะระยะเวลาในการถือครองสั้นเพียง 5 ปีเท่านั้น หากอายุใกล้ครบ 55 ปีแล้ว หมายความว่าอาจจะไม่ต้องถือครองครบ 5 ปี ทั้งยังมีตัวเลือกในการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่ากองทุน ThaiESG

3. กองทุน ThaiESG

  • เหมาะกับนักลงทุนที่มีความสนใจลงทุนในหุ้นไทยและพันธบัตรไทย ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามหลักความยั่งยืนหรือ ESG
  • เหมาะกับสำหรับนักลงทุนที่มีฐานภาษีสูง และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุนเพื่อการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณประเภทอื่นๆ จนครบถ้วนหมดแล้ว เนื่องจากกองทุน ThaiESG ทำให้นักลงทุนได้วงเงินในการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมมาอีก 300,000 บาท

เกร็ดความรู้

รู้หรือไม่กองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทมีวิธีการนับระยะเวลาถือครองที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทได้แก่

  1. นับแบบวันชนวัน คือ สามารถขายกองทุนได้เมื่อครบกำหนดตามเงื่อนไขนับจากวันที่ซื้อกองทุน โดยกองทุน SSF และ ThaiESG มีเงื่อนไขการนับระยะเวลาถือครองแบบนี้

ตัวอย่าง: ซื้อกองทุน SSF A 3 ครั้งในปี 2567 รวมมูลค่า 100,000 บาท

  • ซื้อครั้งแรกวันที่ 10 เมษายน 2567 มูลค่า 20,000 บาท ก้อนนี้จะสามารถขายได้เมื่อครบกำหนด 10 ปีคือ วันที่ 11 เมษายน 2577 เป็นต้นไป
  • ซื้อครั้งที่ 2 วันที่ 13 มิถุนายน 2567 มูลค่า 50,000 บาท ก้อนนี้จะสามารถขายได้เมื่อครบกำหนด 10 ปีคือ วันที่ 14 มิถุนายน 2577 เป็นต้นไป
  • ซื้อครั้งที่ 3 วันที่ 27 ธันวาคม 2567 มูลค่า 30,000 บาท บาท ก้อนนี้จะสามารถขายได้เมื่อครบกำหนด 10 ปีคือ วันที่ 28 ธันวาคม 2577 เป็นต้นไป

  1. นับแบบปีปฏิทิน คือ สามารถขายกองทุนได้เมื่อครบกำหนดตามเงื่อนไขนับแบบวันชนวัน ปีชนปี และมองกองทุนทั้งก้อนโดยนับจากวันที่ลงทุนครั้งแรกเป็นสำคัญ กองทุน RMF มีเงื่อนไขการนับระยะเวลาถือครองแบบนี้

ตัวอย่าง: ถ้ามีอายุครบ 55 ปีในวันที่ 1 มกราคม 2567 และมีการซือกองทุน RMF B ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 และมีการซื้ออย่างต่อเนื่องมาทุกปีในวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2561, 2562, 2563, 2564, 2565, 2566 จะสามารถขายคืน RMF ทุกก้อนที่ซื้อมาได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เนื่องจาก

  • ณ วันที่ 2 มกราคม 2567 มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว
  • ถือครองกองทุน RMF ครบ 5 ปี (ครบเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2565)

ไม่ว่าจะกองทุน SSF/RMF/ThaiESG กองไหนในลิสต์ก็สามารถซื้อได้ที่ Pi Financial App ทั้งหมด เพราะที่ Pi มีกองทุนมากกว่า 1,800 กองทุนจาก 18 บลจ. ชั้นนำให้คุณได้เลือกลงทุนได้ในที่เดียว เริ่มต้นวางแผนลดหย่อนภาษีและเริ่มต้นลงทุนกองทุน RMF เลยวันนี้ที่ Pi Financial App

คำเตือน
  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนและจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด

  • ติดต่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัท

  • กองทุน SSF/RMF ที่มีผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปี 2567 ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2567 เฉพาะกองทุนที่มีขายใน Pi Financial Application

About Author

profile icon
Pi Content Team
Pi Securities Public Company Limited